การปฏิวัติของอับบาซที่ครั้งที่สองและความยุ่งเหยิงทางศาสนาในจักรวรรดิแซฟาวิด

ในปี ค.ศ. 1629 มหาวิษณุเวทแห่งกรุงอิสฟาฮานถูกสั่นสะเทือนด้วยกระแสของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ประวัติศาสตร์เรียกว่า การปฏิวัติของอับบาซที่สอง ครั้งนี้เป็นยุคสมัยที่หวนคืนสู่ความรุ่งเรืองในอาณาจักรแซฟาวิด อันเกิดจากความริษยาและความทะเยอทะยานของขุนนางผู้มีอำนาจ

อับบาซที่สอง ผู้ครองราชย์เมื่ออายุยังน้อย และเป็นพระโอรสของชาห์อับบาซที่หนึ่ง ได้ขึ้นครองราชสมบัติในช่วงเวลาที่จักรวรรดิแซฟาวิดกำลังเผชิญหน้ากับความยุ่งเหยิงทางการเมืองและศาสนาอย่างรุนแรง การปะทะกันระหว่างกลุ่มอิทธิพลของชาวชีอะห์และซุนนี มีส่วนทำให้เกิดความไม่มั่นคง และความขัดแย้งภายใน

พระองค์ทรงถูกห้อมล้อมไปด้วยขุนนางผู้มีอำนาจและมีความทะเยอทะยานสูง เช่น มูรัซซา ซาราวิ ซึ่งเป็นขุนพลฝ่ายซุนนีที่สนับสนุนการปกครองของอับบาซที่หนึ่ง แต่หลังจากการสิ้นพระชนม์ของชาห์อับบาซที่หนึ่ง กลุ่มขุนนางผู้สนับสนุนชาวชีอะห์ก็ได้เริ่มยึดอำนาจ และพยายามที่จะกำจัดอิทธิพลของกลุ่มซุนนี

อับบาซที่สองทรงถูกกดดันให้ทำการปฏิรูปทางศาสนาและล้มล้างอิทธิพลของกลุ่มซุนนี ในขณะที่พระองค์เองก็ทรงมีความต้องการที่จะพิสูจน์พระองค์เองว่าเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง

การปฏิวัติครั้งนี้เกิดขึ้นในหลาย ๆ ด้าน:

• การเมือง: อับบาซที่สองได้ทำการล้างแค้นกลุ่มขุนนางฝ่ายซุนนีและสนับสนุนกลุ่มชาวชีอะห์อย่างเปิดเผย การตัดสินใจนี้ทำให้เกิดความไม่พอใจจากกลุ่มซุนนี และนำไปสู่ความวุ่นวายทางการเมือง

• ศาสนา: พระองค์ทรงส่งเสริมลัทธิชีอะห์ 12 อิมามอย่างแข็งขัน และบังคับให้ชาวซุนนียอมรับลัทธินี้ การกระทำนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งและความเกลียดชังระหว่างกลุ่มศาสนา

• เศรษฐกิจ: การปฏิวัติครั้งนี้มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของจักรวรรดิแซฟาวิดอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าและอุตสาหกรรมถูกคุกคามจากความไม่มั่นคงทางการเมือง

การปฏิวัติของอับบาซที่สองครั้งนี้เป็นช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงอย่างมากในประวัติศาสตร์จักรวรรดิแซฟาวิด ความพยายามในการรวมศาสนา และความต้องการที่จะสร้างชาติพันธุ์เดียวกันได้นำไปสู่การข่มเหงและกดขี่ชาวซุนนี ผลลัพธ์ที่ตามมาคือความไม่มั่นคงทางการเมือง ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มศาสนา และการหยุดชะงักของเศรษฐกิจ

ถึงแม้ว่าอับบาซที่สองจะประสบความสำเร็จในการรวมชาติและสร้างอำนาจให้กับจักรวรรดิแซฟาวิด แต่การปฏิวัติครั้งนี้ก็ได้ปลูกฝังเมล็ดพันธุ์ของความขัดแย้งและความเกลียดชังระหว่างกลุ่มศาสนาในอนาคต